Friday, September 23, 2011

สี่วัน หนึ่งบล๊อก


บล๊อกนี้เขียนบนเครื่องบิน สุดยอดมาก เป็นครั้งแรกที่เอา notebook มาเปิดใช้บนเครื่องบิน
หลังจาไม่ได้เขียนมาหลายวัน เนื่องจากไม่อยากรีบกลับห้อง เพราะคงไม่มีอะรไจะทำ พอ training เสร็จก็เลยไปเดินเล่นจนกว่าจะดึกหรือง่วงนอนซะก่อน
พอได้มาอยู่คนเดียวจริงๆเลยทำให้รู้สึกว่า บ้านที่อยู่ทุกวันนี้ก็น่าอยู่เหมือนกัน เพราะเวลาทำงานเสร็จก็อยากกลับบ้าน (แต่ถ้าว่างก็จะไม่อยากอยู่บ้านเหมือนกัน)

วันจันทร์เป็นวันแรกที่ได้สัมผัสสิงคโปร์ในบรรยากาศแบบเร่งรีบ ตอนเช้า (ประมาณ 9 โมง) ขึ้น MRT ที่สถานี Lavender (EW11) เมื่อรถไฟมาจอดเทียบชานชาลา คนที่สถานีสามารถเข้าไปได้แค่ประตูละ 2-3 คนเท่านั้น เนื่องจากคนมันเต็มตู้มาตั้งแต่ก่อนถึงสถานีนี้แล้ว ถ้าได้พี่พักที่อยู่นอกเมืองออกไปอีก  (ขยิบไปทางต้นสถานี )เก็จะขึ้นรถไฟได้สะดวกกว่านชั่วโมงเร่งรีบแบบนี้ กว่าจะได้ขึ้นรถไฟก็ประมาณขบวนที่ 4 ได้ แต่ถึงแม้จะได้ขึ้นขบวนหลังๆ (ซึ่งก็ยังแน่นอยู่ดี) ก็ไม่ได้ช้าไปกว่าขบวนแรกเท่าไร เพราะรถไฟจะมาบ่อยมาก ทุกๆ 1-2 นาที

เนื่องจากสิงคโปร์มีระบบ MRT ที่ทั่วถึง (มีถึง 4 สาย และกำลังขยายเพิ่มอีก 3 สาย) ในเขตตัวเมืองจะมีสถานีที่เป็นสถานีร่วมของสายอื่นๆด้วย 2 สายบ้าง 3 สายบ้าง แต่ด้วยความเคยชินของระบบ BTS, MRT ของเมืองไทย ที่มีแค่ 3 สาย และสถานีที่เป็นสถานีร่วม เช่น สยาม สุขุมวิท-อโศก ศาลาแดง-สีลม หมอชิต-จตุจักร สถานีที่เป็นจุดเชื่อมต่อเหล่านี้จะอยู่ใกล้กันมาก หากเอารางมาวางใน layer เดียวกัน รางของแต่ละสายก็คงวิ่งทับกัน แต่ระบบ MRT ของที่นี่จะหลากหลายมากกว่านั้น คงด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่ในตัวเมือง  สถานีทีอยู่ในตัวเมืองทั้งหมดจะเป็นสถานีใต้ดิน (ถ้าออกไปนอกเมืองจะลอยฟ้าขึ้นมา) จุดเชื่อมต่างๆในตัวเมืองที่หากดูในแผนที่และคอมมอนเซ้นส์ (ที่ติดมาจากเมืองไทย) แล้วสถานีเหล่านี้ควรจะอยู่ในชานชาลาเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง บางจุดเชื่อมต่อ เป็นเหมือนสถานีคนละแห่งที่สามารถเดินถึงกันได้โดยไม่ต้องเดินผ่านที่กั้น แต่จากชานชาลาของสายหนึ่งไปยังอีกสายหนึ่งนั้น มีระยะห่างพอสมควร จนบางทีรู้สึกว่ารถเมล์น่าจะสะดวกกว่า เพราะรถเมล์ที่นี่มาเป็นเวลา รถไม่ติด และมีป้ายจอดที่ถี่กว่า และส่วนที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ นั่งรถเมล์แล้วได้เห็นสิ่งต่างๆรอบตัว การนั่งรถเมล์ทำให้ได้เจอเป้าหมายใหม่ๆที่อาจจะไม่มีทางได้เจอเมื่อนั่ง MRT เหมือนการดูทีวีที่เราจะกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ทำให้ได้เจอบางรายการที่น่าสนใจโดยที่เราก็ไม่รู้มาก่อน เทียบกับการเล่นเนทที่เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะไปที่ไหน และเราก็จะได้เสพเนื้อหาเฉพาะในที่ที่เราไปเท่านั้น ประเด็นนี้ยังคงเป็นข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งของทีวี (หากทีวียังคงมีรายการดีๆให้เสพอยู่เรื่อยๆ)

อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตุได้ง่ายๆเลยก็คือ จะไม่ค่อยได้เห็นเด็กนักเรียน หรือเด็กวัยก่อนเข้าเรียนสักเท่าไร (ถ้าเห็นก็จะเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ใช่คนท้องถิ่น) แต่เพิ่งจะมาสังเกตุตอนนั่ง MRT ไปสนามบิน ว่าเส้นทางนี้จะเห็นนักเรียนได้เยอะกว่า เลยเป็นไปได้ว่าโรงเรียนส่วนมากจะอยู่นอกเขตตัวเมือง (เท่าที่ดูจากแผนที่ และที่สังเกตุจากการเดินเล่นในเมือง ก็เป็นอย่างนั้น) ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้อดีอย่างหนึ่งเลยก็คือ นักเรียนไม่ต้องมารถติดกับคนทำงาน ในทางกลับกัน คนทำงานก็ไม่ต้องมารถติดกับเด็กนักเรียน (ตรงข้ามกับบ้านเราอย่างยิ่งยวด)

ในเขตตัวเมืองที่มีตึกใหญ่ๆ เช่น ถนน Orchard หรือแถวสถานี City Hall จะเห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ริมถนนตลอดเส้น ต้นไม้เหล่านี้มีาขนาดใหญ่มากๆจนรู้สึกแปลกตาเมื่อเห็นมันยืนอยู่หน้าตึกคอนกรีต ทั้งๆที่ต้นไม้่มีอยู่ตลอดแนวถนน แต่ก็ไม่เห็นว่าฟุตบาทหรือถนนแถวนั้นจะรกไปด้วยใบไม้ อาจจะด้วยเป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ค่อยผลิใบ หรือเป็นช่วงเวลาที่มันไม่ได้ผลิใบ หรือเป็นเพราะการจัดการที่ดีเยี่ยมของเมืองนี้ หรือทั้งหมดรวมกัน

Food court ที่นี่จะมีอยูีทั่วไปในเขตเมือง (เขตนอกเมืองไม่รู้เหมือนกัน) ตามข้างถนน และทุกตึกที่เป็นห้างสรรพสินค้าจะต้องมี food court อยู่ อย่างน้อยหนึ่งที่ ไม่น่าเชื่อว่า food court ที่ไม่มี product เป็นของตัวเอง แต่กลับมี Brand ที่สามารถสร้างความแตกต่างจาก food court ทั่วๆไปได้ มีอยู่ 2 แบรนด์ที่จำได้คื้อ Kopitan เพราะอยู่ใต้ใกล้โรงแรมที่พัก และเห็นป้าย เปิดทำการ 24 ชม. และเห็นได้ทั่วๆไปตามห้างสรรพสินค้า อีกแบรนด์หนึ่งคือ Food Republic ซึ่งจะเน้นการตกแต่่งแบบโบราณ สาขา Singapore Convention Centre ตกแต่งเป็นชั้นหนังสือเก่าๆ ส่วนที่ Vivo city ตกแต่งเป็นบานประตูไม้เก่าๆ ทั้งสองที่นี้มี Theme เดียวกัน คือให้อารมณ์ย้อนยุคหน่อยๆ แต่ก็มีจุดเด่นของตัวเอง (ไม่แน่ใจว่าจะมีสาขาอื่นอีกหรือเปล่า และสาขาเหล่านั้นตกแต่งอย่างไร)

ส่ิ่งที่อยู่คู่กับ food court เลยก็คือ พนักงานที่คอยเก็บจานชามที่กินเสร็จแล้ว และเท่าที่สังเกตุ พนักงานส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุ น่าจะเลยวัยเกษียณไปแล้ว แต่ก็ยังคงต้องทำงานอยู่ นอกจากพนักงานใน food court ก็จะเห็นผู้สูงอายุเหล่านี้ในบทบาทของ พนักงานทำความสะอาด และ พนักงานในสถานีรถไฟ น่าเห็นใจเหมือนกันว่าคนแก่ของเมืองนี้ยังคงต้องทำงานอยู่แม้จะอยู่ในวัยที่ควรจะได้อยู่บ้านพักผ่อนเลี้ยงลุกหลานแล้วก็ตาม (น่าสงสัยว่าเป็นเพราะไม่มีหลานให้เลี้ยง เลยออกมาหาอะไรทำ หรือว่าเป็นเพราะลูกไม่เลี้ยงเลยต้องเลี้ยงตัวเอง หรือเป็นเพราะตัวเองไม่มีลูก ก็เลยไม่มีใครเลี้ยง)

ในเขตตัวเมืองและตามห้าง จะมีร้านอยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่เคยคิดจะเดินเข้าไป แต่จะเห็นอยู่ได้ทั่วเมืงอ นั่นคือร้าน Pet's lover เป็นร้านขายของเกี่ยวกับสัตว์ที่ตกแต่งแบบทันสมัย และใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ แต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยเห็นสัตว์เลี้ยงสักเท่าไร แต่กลับมีร้านแบบนี้อยู่ทั่วไป เท่าที่เดินเล่นในเมือง มีสัตว์เลี้ยงอยู่ 2 ตัวที่เจอ คือเมว นอนอยู่หน้าประตู และหมาที่เจ้าของพามาเดินเล่น

นอกจากจะไม่เห็นสัตว์เลี้ยงแล้ว สัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงก็ยังไม่พบเช่นกัน ทั้งๆที่ในเมืองมี food court อยู่มากมาย และสัตว์(ไม่เลี้ยง) ที่อยู่คู่กับร้านอาหารเลยก็คือ หนูกับแมลงสาบ แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย

คืนนี้ (คืนวันศุกร์ที่ 23) จะเป็นคืนที่มีรถ F1 มาวิ่งบนถนน แถวๆ Marina Bay ตามที่เพื่อนบอกมา คืนนี้จะเป็นคืนอุ่นเครื่อง คืนวันเสาร์จะเป็นรอบซ้อม และคืนวันอาทิตย์จะเป็นการแข่งจริง สิ่งคโปร์ (น่าจะ) เป็นเมืองเดียวในโลกที่มีการแข่ง F1 ตอนกลางคืน คงเป็นเพราะไม่สามารถจัดเข่งตอนกลางวันได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่ แต่แค่นึกภาพการเตรียมสนามบนถนนที่มีการใช้งานอยู่ทุกวัน ก็เห็นได้ถึงศักยภาพในการจัดการของเมืองนี้ได้อย่างดี สิงคโปร์เป็นเมืองที่มีวิสัยทัศน์ดีมาก ที่ชั้นใต้ดิน (ลึกลงไปจาก MRT) มีการเตรียมอุโมงค์สำหรับวางระบบสาธารณะสุขต่างๆ ทั้งไฟฟ้า ประปา และสายนำส่งข้อมูล และอุโมงค์นี้ ถูกออกแบบไว้สำหรับขยายระบบอื่นๆที่อาจจะมีเพิ่มเติมในอนาคตด้วย

นอกจากระบบสาธารณสุขแล้ว การวางระบบการเดินทางในเมืองก็ถูกออกแบบมาอย่างดี ในเขคเมืองนั้น หากดูจากแผนที่แล้วอาจจะมีพื้นที่ไม่กว้างมากนัก แต่เมื่อดูถาตัดขวางของเมืองนี้ จะเห็นว่าเมืองนี้มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าที่เห็นจากแผนที่อยู่เกือบสองเท่า เท่าหนึ่งมาจากชั้นใต้ดินมีสามารถเดินทะลุกันได้ และมีจุดเชื่อมกับชั้นปกติอยู่เป็นระยะๆ อีกเท่าหนึ่งก็เป็นชั้นที่อยู่เหนือขึ้นมาจากชั้นปกติ ทั้ง 3 ระดับสามารถเดินถึงกันได้ตลอด  และในระดับเดียวกันก็เชื่อมต่อถึงกันโดยที่บาง่ครั้งก็ไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เดินเข้ามาในเขตอื่นๆแล้ว (เช่น เดินลงชั้นใต้ดินของ ION Orchard แต่มาโผล่ที่ Wheelock Place หรือเดินที่ชั้น 2 ของ Bugis Junction แต่จนมาโผล่ที่ BHG Bugis)

สิงคโปร์เป็นประเทศที่ไม่มีเกษตรกรรม ดังนั้นจึงไม่น่าจะสามารถผลิตอาหารเองได้ นั่นแปลว่าอาหารทั้งหมดในสิงคโปร์ได้มาจากการนำเข้าจากประเทศอื่นๆ และถ้าเป็นอย่างนั้น ของกินที่หายากที่สุดในสิงคโปร์คงจะเป็นของสด เพราะอาหารที่นำเข้าต้องผ่านการแช่แข็งมาแล้วทั้งนั้น (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิงคโปร์ทำประมงหรือเปล่า และถ้าทำจะเยอะแค่ไหน ถ้าทำประมงอย่างน้อยก็สามารถหาของสดในทะเลมาป้อนให้ food court ในเมืองได้) ถ้าหากเกิดสงครามโลก หรือสภาวะขาดแคลนอาหารสิงคโปร์จะวุ่นวายแค่ไหนกัน

No comments:

Post a Comment